บทความ

กินเพลินเกินพุง

😁 ปิดเทอมเล็ก กินเพลินเกินพุง 😎 🍲 💖 🏫 ช่วงปิดเทอมเล็กแบบนี้ นอกจากเวลาว่างที่เหลือเฝือแล้ว บางบ้านอาจจะเป็นห่วงการกินของเด็ก ๆ ทำให้ตัดสินใจซื้อของติดบ้าน ติดตู้เย็นไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น อาหารจานหลัก กับข้าวถุง รวมไปถึงขนมกรุบกรอบ ขนมหวาน เบเกอรี่ต่างๆ ทำให้เด็กสามารถกินอิ่มจนเกินความพอดี       ที่ร่างกายต้องการใน 1 วันได้ เพราะ ไม่ได้อยู่ในการดูแลตลอดเวลา ❗เพราะฉะนั้น ผู้ปกครอง ควรใส่ใจในอาหารและโภชนาการให้มีคุณค่าและถูกหลักโภชนาการ ทั้งปริมาณและความเหมาะสมกับวัย ของเด็กอายุ 6 – 14 ปี ใน 1 วัน ดังนี้ 🔸 1. ควรกินอาหารที่หลากหลาย และครบ 5 หมู่ 🔸 2. ควรได้รับพลังงานเฉลี่ยที่ 1,600 กิโลแคลอรี 🔸 3. โดยในแต่ละวันควรกินข้าวหรือแป้ง จำนวน 8 ทัพพี เนื้อสัตว์ จำนวน 6 ช้อนกินข้าว ผัก จำนวน 12 ช้อนกินข้าว นม 2 แก้ว และให้มีผลไม้ 6 – 8 ชิ้นพอดีคำทุกมื้อ 🔸 4. ชวนเด็กฝึกปรุงอาหารของตนเอง โดยลดหวาน มัน เค็ม หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก ลูกชิ้น รวมทั้งเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน อาหารแช่แข็งพร้อมทาน 🔸 5. ควบคุมการซื้อขนมกรุบกรอบ เครื่องดื่มรสหวานจัด น้ำอัดลม ชานมไข่มุก และจัดเตรียมนมรสจืดและผลไม้ที่เด็กๆ ชอบไว้ในตู้เย็นแทน 🔸 6. ให้ดื่มน้ำสะอาด 6 – 8 แก้วต่อวัน 🔸 7. ควรส่งเสริมให้เด็กมีกิจกรรมทางกาย จนรู้สึกเหนื่อย อย่างน้อย 60 นาทีทุกวัน (สะสมต่อเนื่อง10 นาทีขึ้นไป) เช่น  เต้นแอโรบิค วิ่ง ปั่นจักรยาน กระโดดเชือก ทำงานบ้าน งานสวน เคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น เพื่อการมีสุขภาพที่ดี 📑 หากผู้ปกครองสามารถฝึกให้เด็กๆ รู้จักมีวินัยในการกินและกินอาหารที่ประโยชน์ กินอย่างเหมาะสมกับวัยในแต่ละวัน สามารถเลี่ยงภาวะโรคอ้วนของเด็กๆ มีร่างกายที่สมส่วนแข็งแรงสมวัยได้ค่ะ ที่มาจาก : กรมอนามัย จากเว็บไซต์ : https://multimedia.anamai.moph.go.th/

ออกกำลังกาย ถูกรุ่น สมวัย โตไป เเข็งเเรง

ออกกำลังกาย ถูกรุ่น สมวัย โตไป เเข็งเเรง  เด็กปฐมวัย 3-5 ขวบ                ควรออกกำลังกายในรูปแบบการละเล่น วิ่งเล่น ปั่นจักรยาน หรือกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อเพิ่มทักษะด้าน EF เด็กวัยเรียน 6-12 ปี และวัยรุ่น 13-17 ปี                ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 60 นาที ทุกวัน (สะสมต่อเนื่อง 10 นาทีขึ้นไป)โดยเน้นการออกกำลังกายที่มีเเรงกระเเทกสูง เช่น การวิ่ง กระโดดเชือก การกระโดดตบ การเต้นเเอโรบิก บาสเกตบอล หรือกีฬาที่ชื่นชอบ ในกรณี เด็กมีภาวะน้ำหนักเกิน หรือบาดเจ็บที่ข้อต่อ ควรออกกำลังกายที่ไม่มีเเรงกระเเทก เช่น การเดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ โยคะ หรือกีฬาที่ชื่นชอบ ข้อเเนะนำ                ก่อนออกกำลังกาย ควรอบอุ่นร่างกาย (Warm up) เช่น การขยับร่างกายเเบบเบาๆ หรือยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ประมาณ 5-10 นาที เพื่อเตรียมความพร้อม ให้กับกล้ามเนื้อ หลังออกกำลังกาย ควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (Cool down) โดยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หรือเดิน       ประมาณ 5-10 นาที เพื่อทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว และลดอาการบาดเจ็บ ที่มาจาก : กรมอนามัย จากเว็บไซต์ : https://multimedia.anamai.moph.go.th/infographics/info628_exercise_6/  

พร้อม (แต่) ไม่ท้อง” กับ “เคล็ด (ไม่) ลับ คู่รักอยากมีลูก

“พร้อม (แต่) ไม่ท้อง” กับ “เคล็ด (ไม่) ลับ คู่รักอยากมีลูก” ปัจจัยที่ทำให้ไม่ตั้งครรภ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้ ปัจจัยจากฝ่ายหญิง ความผิดปกติของรังไข่ เช่น ภาวะรังไข่มีถุงน้ำหลายใบ (PCOS) ภาวะรังไข่หยุดทำงานก่อนวัยอันควร (POF) ภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง ความผิดปกติของท่อนำไข่ เช่น ท่อนำไข่อุดตัน ภาวะติดเชื้อในท่อนำไข่ ความผิดปกติของมดลูก เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) มดลูกมีพังผืด มดลูกพิการ ความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนเพศไม่สมดุล ระดับฮอร์โมนโปรแลคตินสูง โรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไทรอยด์ โรคภูมิแพ้ โรค celiac disease พฤติกรรม เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ กินอาหารไม่ดี ไม่ออกกำลังกาย น้ำหนักตัวมากหรือผอมมาก เครียด อายุ โอกาสในการตั้งครรภ์จะลดลงตามอายุ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ปัจจัยจากฝ่ายชาย ความผิดปกติของอสุจิ เช่น จำนวนอสุจิน้อย อสุจิอ่อนแอ อสุจิผิดรูปร่าง ความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์เพศชาย เช่น ท่อเก็บอสุจิอุดตัน โรคติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์เพศชาย โรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไทรอยด์ พฤติกรรม เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ สูดสารพิษ เครียด อายุ คุณภาพของอสุจิจะลดลงตามอายุ โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป สาเหตุที่ไม่ทราบ ในบางกรณี ไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดว่าทำไมถึงไม่ตั้งครรภ์ได้ กรณีนี้เรียกว่า “ภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ” (unexplained infertility) ที่มาจาก : จากกรมอนามัย จากเว็บไซต์ : https://multimedia.anamai.moph.go.th/help-knowledgs/heath_me_30_pregnant_5/

การดูแลสุขภาพในช่วงฤดูฝน

ถ้าดูแลตัวเองดี . . . จะกี่ฝนก็สู้ไหว  เข้าสู่ฤดูฝน กันมาซักนิดแล้ว หากเราดูแลสุขภาพให้ดี ในช่วงฤดูนี้ที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอจนเกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคไข้หวัดได้ง่าย เราก็จะไม่เจ็บป่วยจากไข้หวัด และเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงต้านไข้หวัดฤดูฝนได้ แต่ละช่วงวัยควรปฏิบัติดังนี้  วัยทารกและเด็กเล็ก   ควรดื่มนมแม่เป็นประจำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในเด็กเมื่อออกจากบ้าน เสริมการป้องกันด้วย หมวกและเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นแก่เด็ก ก่อนนอนให้ห่มผ้าหนาและสวมถุงเท้าให้ความอบอุ่นอยู่เสมอ คอยระวังหากเด็กมีไข้ให้รีบไป พบแพทย์และฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์กำหนด วัยเรียน  วัยซนควรหลีกเลี่ยงออกไปเล่นน้ำฝน เพราะจะทำให้ไม่สบายได้ ผู้ปกครองควรเตรียมร่มหรือหมวกให้เด็กติดตัวไว้เสมอ วัยทำงาน  ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลสุขภาพ และมักคิดว่าไม่เป็นไร แต่ควรเลี่ยงการเดินตากฝน การดื่มแอลกอฮอล์  ชา  กาแฟ  ในปริมาณที่มากเกินไป และรออกกำลังกาย  อย่างสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาที เสริมผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง หรือ กินสมุนไพรไทยที่มีความเผ็ดร้อน เพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกายอบอุ่น วัยสูงอายุ  ภูมิต้านทานจะอ่อนแอลง เสี่ยงป่วยจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทั้งโรคทางเดินหายใจ ไข้หวัดใหญ่ หลอดลมอักเสบ และสามารถลามไปโรคปอดอักเสบได้ ผู้สูงอายุควรกินอาหารรสอ่อนปรุงสุก เลี่ยงกิจกรรมกลางแดดร้อนจัด สวมรองเท้าให้มิดชิดเพื่อป้องกันแมลงมีพิษในช่วงที่อากาศชื้น ที่สำคัญ ควรนอนหลับให้เพียงพอ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลัก 2 1 1 ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้มีสุขภาพที่แข็งแรง ที่มาจาก : กรมอนามัย  จากเว็บไซต์ : https://multimedia.anamai.moph.go.th/infographics/info711_rainy_4/

5 ข้อควรรู้ ดูแลฟันเทียม

5 ข้อควรรู้ ดูแลฟันเทียม 1. ควรไปพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจสภาพฟันเทียม อย่างน้อยปีละครั้ง 2. หลังทานอาหาร ให้ทำความสะอาดฟันเทียม ด้วยแปรงขนนุ่ม 3. ก่อนนอน อย่าลืมถอดฟันเทียม แช่น้ำสะอาด 4. อย่าลืมดูแลฟันเธรรมชาติ ด้วยการใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ 5. ลดอาหารหวาน เลี่ยงอาหารแข็ง เพื่อลดโอกาสสูญเสียฟัน ฟันเทียมสะอาด จะช่วยป้องกันกลิ่นปาก อันเนื่องมาจากเชื้อรา เศษอาหาร และช่วยยึดอายุการใช้งานของฟันเทียมให่นานขึ้น ที่มา : กรมอนามัย  จากเว็บไซต์ : https://multimedia.anamai.moph.go.th/infographics/info651_tooth_11/

"มะเร็งปากมดลูก " ภัยเงียบของผู้หญิง

มะเร็งปากมดลูก พบมากในเพศหญิง ช่วงอายุ 35-60 ปี  สาเหตุ มะเร็งปากมดลูก เกิดจากการติดเชื้อ HPV เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง สาเหตุสำคัญของการติดเชื้อเนื้อเยื่อบุผิว และก่อโรคบริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนักทั้งเพศหญิงและเพศชาย ด้วยการสัมผัสเชื้อโดยตรง หรือมีการเพศสัมพันธ์บ่อยครั้ง  อาการ มะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกมักจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ อาจมีอาการปวดท้องน้อยหรือมีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ปัสสาวะบ่อย หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอย มีตกขาว, น้ำหนักลด, เบื่ออาหาร การรักษา มะเร็งปากมดลูกขึ้นอยู่กับระยะของโรค ในระยะเริ่มต้น สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยการผ่าตัด หรือ การฉายรังสี ระยะที่ 2-3 รักษาโดยการฉายรังสีกับการให้ยาเคมีบำบัดร่วมด้วย การป้องกัน          1. ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV  หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เปลี่ยนคู่นอนหลายคน ตรวจภายในประจำปีพร้อมตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เมื่อมีเลือดออกผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์   ที่มาจาก : โรงพยาบาลเฉพาะทางมะเร็งแคนเซอร์อลิอันซ์ ศรีราชา

เด็กจะก้าวไกลได้…เริ่มต้นที่สายตา

เด็กจะก้าวไกลได้…เริ่มต้นที่สายตา 👀✨ 🏫 ปิดเทอมเล็ก แม้เวลาจะไม่มากเหมือน ปิดเทอมใหญ่ แต่หากคุณพ่อคุณแม่ ละเลยปล่อยให้ลูกใช้สายตาไป กับโทรศัพท์ 📱 และ แท๊บแล็ตมากเกินไป สามารถส่งผลเสียต่อสายตาลูกๆ ได้ในระยะยาว ผู้ปกครองควรมีเคล็ดลับในการถนอมสายตาลูก ๆ จากแสงสีฟ้า ของจอต่าง ๆ ได้ด้วยวิธีการดังนี้ 🔸 ผู้ปกครองควรหาแว่นตา หรือใช้ฟิลเตอร์กรองแสงสีฟ้าในขณะใช้งานให้ลูก เพื่อช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดกับดวงตา เมื่อใช้งานเป็นเวลานาน 🔸 เตรียมห้องหรือสถานที่ เพื่อให้มีแสงสว่าง ที่เพียงพอต่อการใช้สายตา เพราะการใช้สายตามองจอในที่มืด จะทำให้ดวงตาขยายเพื่อให้รับแสงได้มากขึ้น หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลมเป่าอยู่ตลอดเวลา เพราะอาจะทำให้ตาแห้งและเกิดอาการตาล้าได้ 🔸 ทำตามหลักกฎการใช้สายตา 20-20-20 คือ ใช้สายตากับจอทุกชนิด 20 นาที แล้วควรหยุดพัก 20 นาที โดยมองออกไประยะไกล หรือกระพริบตาเร็วๆ 20 ครั้ง เพื่อลดการเพ่งสายตาและผ่อนคลายความตึงเครียด 🔸 เตรียมอาหารที่มีสารอาหารบำรุงสายตาระหว่างวันให้ลูก เช่น Omega 3 Fatty Acid พบได้ในปลาจำพวก ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคคอเรล ปลาแฮร์ริง หรือในเมล็ดพืชบางชนิด เช่น เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง วอลนัต เป็นต้น ส่วน Lutein และ Zeaxanthin พบมากในไข่แดง และผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ปวยเล้ง และ บรอคโคลี่ 📍 นอกจากวิธีการข้างต้นแล้ว กรมอนามัย ขอแนะนำให้ผู้ปกครองควรพาลูกๆ ตรวจสุขภาพตาอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อสุขภาพตาที่ดีและความปลอดภัยในการใช้ชีวิตประจำวันด้วย และอย่าลืมออกกำลังกายเสริมด้วยการกินอาหาร ที่ถูกหลักอนามัยด้วยนะคะ 📎 การเรียนรู้ที่ดีมากกว่า 80% เกิดจาการมองเห็น เพราะ การมองเห็นที่ดีเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้ และพัฒนาสมอง บุคลิกภาพ รวมถึงคุณภาพชีวิตของเด็กทุกคนในเด็กอายุ 3-12 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญต่อการพัฒนาการทางสายตา หากมีภาวะสายตาผิดปกติและไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและรวดเร็ว อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาวจนถึงขั้นพิการทางสายตาได้ค่ะ ที่มาจาก : กรมอนามัย 💝 เว็บไซต์จาก : https://multimedia.anamai.moph.go.th/

ผู้สูงวัยรับประทานอาหารเจอย่างปลอดภัย

       กรมการแพทย์แนะแนวทางผู้สูงวัยรับประทานอาหารเจอย่างปลอดภัย        นายแพทย์ ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การรับประทานเจ คือ การงดรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ทุกชนิด รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากสัตว์ เป็นการสร้างบุญสร้างกุศล อย่างไรก็ตามการรับประทานเจอาจทำให้ขาดสารอาหารโดยที่เราไม่รู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุที่ส่วนมากรับประทานน้อย และมักมีน้ำหนักตัวน้อยอยู่เดิม ผู้สูงอายุที่มีน้ำหนักตัวน้อย มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดสารอาหาร รวมไปถึงมวลกล้ามเนื้อพร่อง ซึ่งมีผลต่อสุขภาพ และความเสี่ยงการพลัดตกหกล้ม ดังนั้นการที่ผู้สูงอายุไม่กินเนื้อสัตว์อาจส่งผลให้ผู้สูงอายุขาดโปรตีน วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก แคลเซียม และแร่ธาตุสังกะสี ทว่ากรณีที่รับประทานเจในระยะสั้นอย่างเทศกาลเจ ยังไม่ส่งผลให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร แต่อย่างไรก็ตามผู้สูงอายุควรได้รับสารอาหารครบถ้วน รับประทานอาหารหลากหลาย และมีประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณ ที่พอเหมาะถูกหลักโภชนาการเพื่อให้ได้บุญและสุขภาพที่ดีไปพร้อมกัน         แพทย์หญิงบุษกร โลหารชุน ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่าผู้สูงอายุสามารถการรับประทานอาหารในเทศกาลเจเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีควบคู่ไปด้วยได้ ดังนี้ 1) เน้นรับประทานอาหารเจปรุงสุกจากการต้ม นึ่ง ยำ อบ ตุ๋น หรือลวก หลีกเลี่ยงอาหารทอด ย่าง หรือผัด 2) การหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เช่น ผักดอง กานาฉ่าย โปรตีนเกษตร เนื่องจากมีโซเดียมสูง อันเป็นเหตุให้ไตทำงานหนัก และทำให้ความดันโลหิตสูงได้ 3) การรับประทานอาหารหลากหลาย และมีสารอาหารทดแทนสารอาหารจากเนื้อสัตว์ เช่น โปรตีนได้จากเต้าหู้ ถั่ว และธัญพืช แคลเซียมได้จากผักคะน้า ผักโขม บร็อคโคลี่ งา และนมถั่วเหลือง แร่ธาตุสังกะสีได้จากถั่ว ธัญพืชเต็มเมล็ด  ธาตุเหล็ก ได้จากผักใบเขียว ธัญพืช และข้าวโอ๊ต ร่วมกับแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูงร่วมด้วย เพื่อเพิ่มการ  ดูดซึมธาตุเหล็ก และสุดท้ายวิตามินบี 12 ที่มักพบในเนื้อสัตว์เป็นหลักสามารถแทนได้จากนมถั่วเหลือง หรือธัญญาหาร (Cereal) ที่เสริมวิตามินบี 12 เป็นต้น ที่มาจาก : กรมการแพทย์  

รู้ได้ยังไงว่า?? เป็นข้อเข่าเสื่อม

รู้ได้ยังไงว่า?? เป็นข้อเข่าเสื่อม โรคข้อเข่าเสื่อม พบบ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป พบในเพศหญิง มากกว่าเพศชาย เกิดจากการใช้งานข้อต่อเข่าอย่างต่อเนื่องจนทำให้กระดูกอ่อน ผิวข้อสึกกร่อน ทำให้เกิดอาการปวดเข่า เข่าบวม ข้อยึดติด มีเสียงดังในเข่า เข่าผิดรูปไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ปัจจัยที่ทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อม อายุ เนื่องจากใช้งานข้อเข่าเป็นเวลานานตามอายุที่มากขึ้น น้ำหนักตัวที่มากเกินไป  พบว่าน้้าหนักตัวที่เพิ่มขึ้น 0.5 กิโลกรัม จะเพิ่มแรงที่กระท้าต่อข้อเข่า 1-1.5 กิโลกรัม ขณะเดียวกันเซลล์ไขมันที่มากเกินไปจะมีผลต่อเซลล์กระดูก อ่อนและเซลล์กระดูก ส่งผลให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น อุบัติเหตุ ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุมีการกระแทกที่ข้อเข่า หรือกระดูกข้อเข่าแตก เอ็นฉีก ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก คนที่ไม่ออกกำลังกายมักมีกล้ามเนื้อข้อเข่าและกระดูกข้อเข่าที่ไม่แข็งแรง อาการของโรคข้อเข่าเสื่อม ในระยะแรก อาจเริ่มปวดเข่าเวลาที่มีการเคลื่อนไหว เช่น เดิน ขึ้นลงบันได  และจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อหยุดพักการใช้ข้อ นอกจากนี้อาจมีอาการข้อฝืดขัด โดยเฉพาะเมื่อหยุดการเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน เมื่อขยับข้อจะรู้สึกถึงการเสียดสีของกระดูกหรือมีเสียงดังในข้อ ในกรณีที่มีภาวะข้อเสื่อมรุนแรง จะมีอาการปวดรุนแรงขึ้น บางครั้งปวดเวลากลางคืน อาจคลำส่วนกระดูกงอกได้บริเวณด้านข้างข้อ เมื่อเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาเต็มที่จะมีอาการปวดหรือเสียวบริเวณกระดูกสะบ้า   หากมีการอักเสบจะมีข้อบวม ร้อน และตรวจพบน้ำในช่องข้อ ถ้ามีข้อเสื่อมมานาน อาจส่งผลให้ไม่สามารถเหยียดหรืองอข้อเข่าได้สุด กล้ามเนื้อต้นขาลีบ ข้อเข่าโก่ง หลวม หรือบิดเบี้ยวผิดรูป การป้องกันและรักษา ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อลดน้ำหนักที่กระทำต่อข้อเข่า ลดการใช้ข้อเข่า ออกกำลังกายกล้ามเนื้อรอบๆข้อเข่าให้แข็งแรงและสม่ำเสมอ ด้วยการ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เดินเร็ว เป็นต้น ถ้ามีอาการปวด บวมที่เข่ามาก จนกระทบกิจวัตรประจำวันอย่างมากควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาการรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า การกายภาพบำบัดในข้อเข่าเสื่อม การกายภาพบำบัด จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า รวมถึงเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับข้อต่อ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้น ปวดน้อยลงและขยับเคลื่อนไหวได้มากขึ้นการลดอาการปวด โดยใช้อุปกรณ์ทางกายภาพบำบัด เช่น เครื่องอัลตราซาวด์ เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อลดอาการปวดลงการแนะนำท่าออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละบุคคลการออกกำลังการเสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า เพื่อเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อให้ช่วยพยุงข้อเข่าลดการเสียดสีของข้อเข่าให้น้อยลง ที่มาจาก : พรีเมียร์ โฮม เฮลท์ แคร์ โดย เครือรพ.ธนบุรี ให้บริการกายภาพบำบัดถึงบ้าน อาทิ กายภาพบำบัดสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง อัมพฤกษ์ อัมพาต ตลอดจนกายภาพบำบัดออฟฟิศ ซินโดรม          รักษาอาการปวดคอ บ่า ไหล่ จากเว็บไซต์ : https://premierehomehealthcare.co.th/

อัลไซเมอร์

อัลไซเมอร์ เป็นหนึ่งในสาเหตุของภาวะสมองเสื่อม เกิดจากความเสื่อมถอยของการทำงาน หรือโครงสร้างของเนื้อเยื่อของสมอง พบมากในผู้สูงอายุ ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาการของโรคจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ               จนส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ในที่สุดอาการบ่งชี้ของอัลไซเมอร์ ระยะเริ่มแรก      ผู้ป่วยจะมีอาการหลงลืม ในเรื่องที่ไม่น่าจะลืม ระยะกลาง        เมื่อเริ่มเป็นมากขึ้น ผู้ป่วยจะมีความจำจะแย่ลง สูญเสียความทรงจำ โดยเฉพาะความจำที่เพิ่งเกิดใหม่ๆ หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน บางครั้งเดินออกจากบ้านโดยไม่ทราบสาเหตุ ระยะรุนแรง       ผู้ป่วยจะมีอาการสับสน ก้าวร้าว ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างน้อยลง เคลื่อนไหวน้อยลง จนคล้ายผู้ป่วยติดเตียง            ปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอัลไซเมอร์ อายุที่มากขึ้น โดยพบว่าหลังอายุ 65 ปี ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเพิ่มเป็น 2 เท่าในทุก ๆ 5 ปีที่อายุมากขึ้น กรรมพันธุ์ มีญาติสายตรงป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ พบว่าโรคอัลไซเมอร์มีส่วนที่เกิดจากโรคของหลอดเลือด ดังนั้น การมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ความดันโลหิตสูง นับเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นกัน  การดูแล รักษา ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายขาดได้ อยากไรก็ตาม การนำผู้ป่วยมาพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะช่วยยืดระยะเวลาการดำเนินโรคได้ รวมทั้งช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้ ทั้งนี้การดูแลรักษาผู้ป่วย อัลไซเมอร์ สามารถทำได้ 2 วิธีหลัก การรักษาโดยการใช้ยา เพื่อเพิ่ม หรือปรับระดับของสารแอซิติลโคลีนไม่ให้ลดลงมากจนเกินไป ผู้ป่วยจึงสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ การรักษาโดยไม่ใช้ยา อาทิ จัดให้ผู้ป่วยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้สมองสดชื่นและยืดระยะเวลาการดำเนินโรคได้ การทำกายภาพบำบัด เนื่องจากผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ มักมีความสามารถทางกายลดลงในหลายๆด้าน เช่น การเคลื่อนไหว การทรงตัว การเดิน รวมถึงอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ดังนั้น จึงควรให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาฟื้นฟูร่างกาย กำลังกล้ามเนื้อ โดยจะเน้น การฝึกการทรงตัว การเคลื่อนไหวต่าง ๆ โดยเฉพาะการเดิน และยังรวมไปถึงการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออีกด้วย หากิจกรรมให้ผู้ป่วยได้ออกไปนอกบ้าน พบปะเพื่อนฝูง ดูแลให้ผู้ป่วยได้นอนหลับอย่างมีคุณภาพตามสุขลักษณะการนอน จัดห้องให้น่าอยู่ ปรับแสงสว่างให้พอเหมาะ เก็บของมีคม หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าให้มิดชิด ที่มาจาก : Premiere  Home Health Care    เว็บไซต์จาก : https://premierehomehealthcare.co.th/news/

รู้ (จัก) พรบ.นมผง

 รู้ (จัก)  พรบ.นมผง  เราทำความรู้จักกับ พรบ.นมผง (MILK CODE) หรือ ❝พระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.2560 หรือ พรบ.นมผง มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมวิธีการส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับทารก อาหารเสริมสำหรับทารก และอาหารสำหรับเด็กเล็ก ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม  ไม่มีการโฆษณาหรือการใช้กลยุทธ์เพื่อจูงใจ❞  ห้ามไม่ให้ ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้จำหน่าย หรือตัวแทน ใช้การตลาดเพื่อจูงใจ เพราะ  ❝มีหลาย ๆ สิ่ง บอกว่า ทานง่าย เสริมนั่น เสริมนี่ โฆษณาให้ดูดี แต่จริงๆ ไม่ได้เลย❞   พรบ.นมผง จะคอยเคียงข้างคุณแม่และลูกน้อย ทุกคนจะร่วมกันสอดส่องสื่อต่าง ๆ ที่ โฆษณาเกินจริง และไม่ถูกต้อง รวมถึงการส่งเสริมการตลาดและการจูงใจต่าง ๆ ที่พยายามโน้มน้าวให้ใช้นมผงในการเลี้ยงทารก เพื่อปกป้องสิทธิของทารกที่จะได้รับการเลี้ยงดูด้วยนมแม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาควรได้รับ  เพราะ ❝ลูกเลือกเองไม่ได้ แต่แม่สามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกของคุณได้❞  นมแม่ดีที่สุด อย่าให้ลูกของคุณพลาดโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต มาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กันนะ ที่มา : จากกรมอนามัย      รูปภาพจาก : สำนักส่งเสริมสุขภาพ กองส่งเสริมความรอบรู้และสื่อสารสุขภาพ   จากเว็บไซต์ : https://multimedia.anamai.moph.go.th/infographics/ร-จก-พรบ-นมผง/