ทำบ้านให้สะอาด สดใส รับมือฝุ่น PM2.5 ด้วย 3ส 1ล ส.สะสาง คัดแยกและกำจัดสิ่งของที่ไม่จำเป็น เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมฝุ่น ส.สะอาด - เช็ดล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ในบ้าน เช่น หน้ากากแอร์ - พัดลม มุ้งลวด ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดพื้นและซอกมุมต่าง ๆ ส.สร้าง – สุขนิสัยทำความสะอาดสม่ำเสมอ– สิ่งแวดล้อมช่วยลดฝุ่น เช่น ปลูกต้นไม้ ล.เลี่ยง เลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดฝุ่น เช่น จุดธูป ปิ้งย่าง เผาขยะ และตรวจเช็คสภาพรถยนต์ให้อยู่สภาพดีไม่ก่อควันดำ อ้างอิงข้อมูลจาก: https://multimedia.anamai.moph.go.th/infographics/clean-room-with-pm2-5/
กลุ่มเสี่ยงเลี่ยงฝุ่น PM2.5 - หญิงตั้งครรภ์ อวัยวะต่าง ๆของทารกในครรภ์กำลังพัฒนาอาจได้รับผลกระทบจากมลพิษที่แม่ได้รับผ่านสายรก- เด็กเล็ก ปอดกำลังพัฒนา อัตราการหายใจถี่ ทำให้ได้รับมลพิษมากกว่าผู้ใหญ่ในช่วงเวลาที่เท่ากัน- ผู้สูงอายุ ระบบหายใจเสื่อมตามวัย มีโอกาสเกิดโรคต่าง ๆเช่น โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังโรคถุงลมโป่งพอง- ผู้ที่มีโรคประจำตัว มีอาการกำเริบ เช่น ผู้ป่วยภูมิแพ้มีอาการจมูกอักเสบผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดเจ็บหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะ- ผู้ทำงานกลางแจ้ง ตำรวจจราจร พนักงานกวาดถนน พ่อค้าแม่ค้าริมถนน วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนทำงานนอกอาคาร ได้รับสัมผัสฝุ่นเป็นเวลานาน มีโอกาสเกิดผลกระทบต่อสุขภาพในระยาว อ้างอิงข้อมูลจาก: https://multimedia.anamai.moph.go.th/infographics/info472_sport2
การปฏิบัติตนตามระดับค่าสีฝุ่น PM2.5 ปรับค่ามาตรฐานใหม่ เริ่มปรับใช้ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2566 🔵 ทำกิจกรรมได้ตามปกติ 🟢 ทำกิจกรรมได้ตามปกติ 🟡 เลี่ยงการทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก / สังเกตอาการตนเอง 🟠 ลดระยะเวลาการทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก / สวมหน้ากาก / หากมีอาการผิดปกติ ให้รีบพบแพทย์ 🔴 ลดระยะเวลาการทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก / สวมหน้ากาก / หากมีอาการผิดปกติ ให้รีบพบแพทย์ อ้างอิงข้อมูลจาก: https://multimedia.anamai.moph.go.th/infographics/info589_pm2-5
ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจไปถึงปอด ถุงลม แทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือด และไปรบกวนการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ และเป็นโรคเรื้อรัง
ศิลปะ…ถ่ายทอดจินตนาการ เสริมสร้างสมาธิ งานศิลปะวาดภาพระบายสีช่วยให้เด็กผ่อนคลาย ฝึกจินตนาการ เสริงสร้างสมาธิ เด็กจะได้ซึมซับความประณีต ส่งผลให้มีจิตใจที่อ่อนโยน เราขอขยายความเรื่องพัตนาการในแต่ละด้านของการเรียน ศิลปะ ให้เข้าใจง่ายขึ้นดังนี้ ด้านสมาธิ : เวลาที่เด็กอยู่กับงานศิลปะนั้น เขาจะมีสติจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำไม่ว่อกแว่ก เพื่อให้งานสำเร็จและสวยงามที่สุด ซึ่งการมีสมาธิยังส่งผลดีกับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันที่ต้องเจออีกด้วย ด้านกล้ามเนื้อ : ศิลปะ ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อได้ เช่น การวาดรูประบายสี การปั้นดินน้ำมัน การต่อตัวต่อ ซึ่งจะมีการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่อยู่ตลอดเวลา จากการจับพู่กัน ดินสอสีหรือดินน้ำมัน เพื่อให้ออกมาเป็นงานศิลปะอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้ ด้านการแก้ไขปัญหา : ศิลปะ ช่วยสร้างทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ เช่น หากเกิดผสมสีออกมาแล้วไม่เป็นดั่งใจที่คิดไว้ มันเป็นเพราะอะไรจะแก้ไขอย่างไรหรือถ้าหากปั้นดินน้ำมันออกมาแล้วไม่เหมือนอย่างที่จินตนาการเอาไว้ จะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร ซึ่งเป็นการฝึกการแก้ไขปัญหาได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังสามารถนำเอาทักษะที่ได้นี้มาปรับใช้กับเรื่องอื่นในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย ด้านความเชื่อมั่น : เพราะ ศิลปะไม่มีถูกผิด สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ตามใจชอบ เมื่อเด็กทำงานศิลปะจะทำให้ได้ปลดปล่อยความคิดความเป็นตัวเองออกมาไม่ต้องกลัวว่าจะผิด ดังนั้นงานศิลปะจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำให้เด็ก ๆ เชื่อมั่นในตัวเองมากยิ่งขึ้น กล้าคิดและกล้าแสดงออกอย่างอิสระ ศิลปะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สามารถทำร่วมกันได้ในครอบครัว ทำได้ทุกที่และทุกเวลา ขอแค่อย่าลืมสิ่งสำคัญว่า “ควรให้ลูกเลือกกิจกรรมที่เขาสนใจเป็นพิเศษ” เพราะ ผลงานศิลปะต้องออกมาจากความรู้สึกที่ต้องการจะสร้างสรรค์ถึงจะดีที่สุด ข้อมูลจาก : กรมอนามัย เว็บไซต์จาก : https://multimedia.anamai.moph.go.th/help-knowledgs/heath_me_40_child_11/
📱 เล่นสนุกทั้งวัน 🏃♀️ ต้อง นอนเพียงพอตลอดคืน 🛌 ⭐🌙 📑 ในช่วงหยุดยาว หรือ ปิดเทอม เด็ก หรือ ผู้ปกครอง อาจคิดว่า นอนดึก ๆ ได้ เพราะ เป็นวันหยุดยาวไม่ต้องรีบตื่นไปไหน แต่การนอนน้อย นอนไม่เพียงพอ ไม่ได้หยุดส่งผลเสียต่อร่างกายตามการปิด-เปิดเทอมแต่อย่างใด เพราะ ยังไงแล้วเด็ก ๆ ก็ควรนอนเพียงให้พอเหมาะสมตามวัย ดังนี้ 🔸 1. เด็กวัยอนุบาลอายุ 3-5 ปี : ควรนอนหลับ 10-13 ชม./วัน และอาจนอนหลับมากถึง 14 ชม./วัน🔸 2. เด็กวัยเรียน 6-13 ปี : ควรนอนหลับ 9-11 ชม./วัน และอาจนอนหลับมากถึง 12 ชม./วัน🔸 3. เด็กวัยรุ่นอายุ 14-17 ปี : ควรนอนหลับ 8-10 ชม./วัน และอาจนอนหลับมากถึง 11 ชม./วัน 🔖 เกร็ดความรู้เพิ่มเติม : ในช่วงวัยเรียนวัยรุ่น เป็นช่วงที่เข้าถึงหน้าจอต่าง ๆ ได้ง่าย การงดให้ตารับแสงกระตุ่นหรือแสงสีฟ้า ก่อนนอน 2-3 ชม. และ งดชาร์จอุปกรณ์สื่อสาร บริเวณหัวนอน เพื่อการนอนหลับที่ง่ายขึ้น❗ และข้อควรระวังการอดนอน อาจทำให้มีอาการดังนี้1. ร่างกายอ่อนเพลีย และป่วยง่าย2. สมองทำงานช้าลง3. หน้าโทรม4. อารมณ์แปรปรวน5. ระบบไหลเวียนโลหิต และหลอดเลือดทำงานผิดปกติ ที่มาจาก : กรมอนามัย เว็บไซต์จาก : https://multimedia.anamai.moph.go.th/
ภาวะตะคริวสามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัยและมักจะเกิดในผู้สูงอายุมากกว่ากลุ่มวัยอื่นเพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะมีปัญหาการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ และประสิทธิภาพการทำงานของกล้ามเนื้อในผู้สูงอายุส่วนหนึ่งจะลดลง และเกิดการอ่อนล้าได้ง่าย โดยปกติตะคริว ไม่อันตราย เว้นแต่ก่อให้เกิดอาการปวดนานเป็นชั่วโมง และส่งผลให้ขยับเขยื้อนได้ลำบากในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น เกิดตะคริวขณะว่ายน้ำ หรือกำลังปีนบันได นอกจากนี้การเป็นตะคริวบ่อย หรือการที่บริเวณที่เป็นมีลักษณะบวมแดง หรือผิวหนังเปลี่ยนสี แนะนำให้ไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการเกิดโรคอื่นๆได้ นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ตะคริวเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกะทันหัน ซึ่งพบได้บ่อยในกล้ามเนื้อขา ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดได้นั้นมีหลายสาเหตุ ได้แก่ 1.การใช้กล้ามเนื้อนั้นๆ มากเกินไป ร่วมกับการยืดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายไม่เพียงพอ 2. ยาบางตัว เช่น ยาไขมัน (กลุ่ม Statin) ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดัน ยาขยายหลอดลม เป็นต้น 3. โรคบางอย่างหรือภาวะบางอย่างของร่างกาย เช่น โรคไต โรคพาร์กินสัน ไทรอยด์ น้ำตาลต่ำ ดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรัง ระดับเกลือแร่บางอย่าง ในร่างกายต่ำ ร่างกายขาดน้ำ ภาวะเครียด หรือเส้นประสาททำงานผิดปกติ เป็นต้น 4.การไหลเวียนของเลือดบกพร่อง เช่น ภาวะเส้นเลือดตีบตัน หรือการบีบตัวของหัวใจไม่ดี 5. การทำงานของเซลล์ประสาททำงานผิดปกติ แพทย์หญิงบุษกร โลหารชุน ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุกรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อผู้สูงอายุเป็นตะคริวควรปฏิบัติตัว ดังนี้ 1.พักการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อส่วนนั้น 2. ยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนที่เป็นตะคริวอย่างช้าๆ 3.นวดบริเวณกล้ามเนื้อที่เป็นตะคริวเบาๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว 4.หากกล้ามเนื้อมีการหดเกร็งมากอาจใช้น้ำอุ่นหรือถุงอุ่นประคบ 5.หากตะคริวลดลงแต่ยังคงมีอาการปวดอาจใช้ยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ 6.หากพบว่าเป็นตะคริวบ่อย หรือทำให้รบกวนการนอนหรือนอนไม่หลับควรปรึกษาแพทย์ วิธีป้องกันการเกิดตะคริวในผู้สูงอายุ 1. หากไม่มีข้อห้ามหรือโดนจำกัดการดื่มน้ำ ให้ดื่มน้ำประมาณ 2-3 ลิตร/วัน 2. ก่อนเข้านอนสามารถออกกำลังกายกล้ามเนื้อขาโดยการปั่นจักรยานอยู่กับที่เบา ๆ ประมาณ 2-3 นาที เพื่อคลายและยืดเหยียดกล้ามเนื้อ 3. จิบเครื่องดื่มเกลือแร่ก่อนและหลังออกกำลังกาย 4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และความทนทาน ของกล้ามเนื้อ โดยเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่ำและมีการเคลื่อนไหวไม่เร็วมากซึ่งเหมาะกับผู้สูงอายุ และยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนและหลังออกกำลังกาย 5. พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่มีแร่ธาตุโพแทสเซียม ได้แก่ กล้วย ส้ม แคลเซียม ได้แก่ นม ปลาตัวเล็กๆ ที่รับประทานทั้งก้างได้ อาหารที่มีวิตามินอี เช่น ถั่ว น้ำมันพืช วิตามินบี 12 เช่น อาหารประเภทปลาและไข่ในมื้อเย็น 6. หลีกเลี่ยงอากาศเย็น และขณะนอนหลับควรให้บริเวณขาและเท้าอบอุ่นอยู่เสมอด้วยการห่มผ้าหรือสวมถุงเท้า 7. หาหมอนรองปลายเท้าขณะหลับ 8. เลือกรองเท้าที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อน่องและฝ่าเท้าในช่วงกลางวัน 9. หากกินยาแล้วมีอาการเป็นตะคริวซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นควรปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม ที่มาจาก : สถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ กรมการแพทย์
👀 มาทำความรู้จัก โรคสครับไทฟัส หรือ โรคไข้รากสาดใหญ่ อันตรายที่ เกษตรกร สายเดินป่า แคมปิ้งต้องระวัง‼️ มีไรอ่อนเป็นพาหะนำโรค พบได้ทุกฤดู โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนจนถึงต้นฤดูหนาว พื่นที่เสี่ยงที่พบมาก คือ พื้นที่เกษตรกรรมใกล้ป่า และพื้นป่าละเมาะ ที่มาจาก : กรมควบคุมโรค จากเว็บไซต์ : https://shorturl-ddc.moph.go.th/AwhOH
😁 ปิดเทอมเล็ก กินเพลินเกินพุง 😎 🍲 💖 🏫 ช่วงปิดเทอมเล็กแบบนี้ นอกจากเวลาว่างที่เหลือเฝือแล้ว บางบ้านอาจจะเป็นห่วงการกินของเด็ก ๆ ทำให้ตัดสินใจซื้อของติดบ้าน ติดตู้เย็นไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น อาหารจานหลัก กับข้าวถุง รวมไปถึงขนมกรุบกรอบ ขนมหวาน เบเกอรี่ต่างๆ ทำให้เด็กสามารถกินอิ่มจนเกินความพอดี ที่ร่างกายต้องการใน 1 วันได้ เพราะ ไม่ได้อยู่ในการดูแลตลอดเวลา ❗เพราะฉะนั้น ผู้ปกครอง ควรใส่ใจในอาหารและโภชนาการให้มีคุณค่าและถูกหลักโภชนาการ ทั้งปริมาณและความเหมาะสมกับวัย ของเด็กอายุ 6 – 14 ปี ใน 1 วัน ดังนี้ 🔸 1. ควรกินอาหารที่หลากหลาย และครบ 5 หมู่ 🔸 2. ควรได้รับพลังงานเฉลี่ยที่ 1,600 กิโลแคลอรี 🔸 3. โดยในแต่ละวันควรกินข้าวหรือแป้ง จำนวน 8 ทัพพี เนื้อสัตว์ จำนวน 6 ช้อนกินข้าว ผัก จำนวน 12 ช้อนกินข้าว นม 2 แก้ว และให้มีผลไม้ 6 – 8 ชิ้นพอดีคำทุกมื้อ 🔸 4. ชวนเด็กฝึกปรุงอาหารของตนเอง โดยลดหวาน มัน เค็ม หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก ลูกชิ้น รวมทั้งเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน อาหารแช่แข็งพร้อมทาน 🔸 5. ควบคุมการซื้อขนมกรุบกรอบ เครื่องดื่มรสหวานจัด น้ำอัดลม ชานมไข่มุก และจัดเตรียมนมรสจืดและผลไม้ที่เด็กๆ ชอบไว้ในตู้เย็นแทน 🔸 6. ให้ดื่มน้ำสะอาด 6 – 8 แก้วต่อวัน 🔸 7. ควรส่งเสริมให้เด็กมีกิจกรรมทางกาย จนรู้สึกเหนื่อย อย่างน้อย 60 นาทีทุกวัน (สะสมต่อเนื่อง10 นาทีขึ้นไป) เช่น เต้นแอโรบิค วิ่ง ปั่นจักรยาน กระโดดเชือก ทำงานบ้าน งานสวน เคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น เพื่อการมีสุขภาพที่ดี 📑 หากผู้ปกครองสามารถฝึกให้เด็กๆ รู้จักมีวินัยในการกินและกินอาหารที่ประโยชน์ กินอย่างเหมาะสมกับวัยในแต่ละวัน สามารถเลี่ยงภาวะโรคอ้วนของเด็กๆ มีร่างกายที่สมส่วนแข็งแรงสมวัยได้ค่ะ ที่มาจาก : กรมอนามัย จากเว็บไซต์ : https://multimedia.anamai.moph.go.th/
ออกกำลังกาย ถูกรุ่น สมวัย โตไป เเข็งเเรง เด็กปฐมวัย 3-5 ขวบ ควรออกกำลังกายในรูปแบบการละเล่น วิ่งเล่น ปั่นจักรยาน หรือกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อเพิ่มทักษะด้าน EF เด็กวัยเรียน 6-12 ปี และวัยรุ่น 13-17 ปี ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 60 นาที ทุกวัน (สะสมต่อเนื่อง 10 นาทีขึ้นไป)โดยเน้นการออกกำลังกายที่มีเเรงกระเเทกสูง เช่น การวิ่ง กระโดดเชือก การกระโดดตบ การเต้นเเอโรบิก บาสเกตบอล หรือกีฬาที่ชื่นชอบ ในกรณี เด็กมีภาวะน้ำหนักเกิน หรือบาดเจ็บที่ข้อต่อ ควรออกกำลังกายที่ไม่มีเเรงกระเเทก เช่น การเดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ โยคะ หรือกีฬาที่ชื่นชอบ ข้อเเนะนำ ก่อนออกกำลังกาย ควรอบอุ่นร่างกาย (Warm up) เช่น การขยับร่างกายเเบบเบาๆ หรือยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ประมาณ 5-10 นาที เพื่อเตรียมความพร้อม ให้กับกล้ามเนื้อ หลังออกกำลังกาย ควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (Cool down) โดยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หรือเดิน ประมาณ 5-10 นาที เพื่อทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว และลดอาการบาดเจ็บ ที่มาจาก : กรมอนามัย จากเว็บไซต์ : https://multimedia.anamai.moph.go.th/infographics/info628_exercise_6/
“พร้อม (แต่) ไม่ท้อง” กับ “เคล็ด (ไม่) ลับ คู่รักอยากมีลูก” ปัจจัยที่ทำให้ไม่ตั้งครรภ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้ ปัจจัยจากฝ่ายหญิง ความผิดปกติของรังไข่ เช่น ภาวะรังไข่มีถุงน้ำหลายใบ (PCOS) ภาวะรังไข่หยุดทำงานก่อนวัยอันควร (POF) ภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง ความผิดปกติของท่อนำไข่ เช่น ท่อนำไข่อุดตัน ภาวะติดเชื้อในท่อนำไข่ ความผิดปกติของมดลูก เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) มดลูกมีพังผืด มดลูกพิการ ความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนเพศไม่สมดุล ระดับฮอร์โมนโปรแลคตินสูง โรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไทรอยด์ โรคภูมิแพ้ โรค celiac disease พฤติกรรม เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ กินอาหารไม่ดี ไม่ออกกำลังกาย น้ำหนักตัวมากหรือผอมมาก เครียด อายุ โอกาสในการตั้งครรภ์จะลดลงตามอายุ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ปัจจัยจากฝ่ายชาย ความผิดปกติของอสุจิ เช่น จำนวนอสุจิน้อย อสุจิอ่อนแอ อสุจิผิดรูปร่าง ความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์เพศชาย เช่น ท่อเก็บอสุจิอุดตัน โรคติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์เพศชาย โรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไทรอยด์ พฤติกรรม เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ สูดสารพิษ เครียด อายุ คุณภาพของอสุจิจะลดลงตามอายุ โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป สาเหตุที่ไม่ทราบ ในบางกรณี ไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดว่าทำไมถึงไม่ตั้งครรภ์ได้ กรณีนี้เรียกว่า “ภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ” (unexplained infertility) ที่มาจาก : จากกรมอนามัย จากเว็บไซต์ : https://multimedia.anamai.moph.go.th/help-knowledgs/heath_me_30_pregnant_5/
ถ้าดูแลตัวเองดี . . . จะกี่ฝนก็สู้ไหว เข้าสู่ฤดูฝน กันมาซักนิดแล้ว หากเราดูแลสุขภาพให้ดี ในช่วงฤดูนี้ที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอจนเกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคไข้หวัดได้ง่าย เราก็จะไม่เจ็บป่วยจากไข้หวัด และเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงต้านไข้หวัดฤดูฝนได้ แต่ละช่วงวัยควรปฏิบัติดังนี้ วัยทารกและเด็กเล็ก ควรดื่มนมแม่เป็นประจำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในเด็กเมื่อออกจากบ้าน เสริมการป้องกันด้วย หมวกและเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นแก่เด็ก ก่อนนอนให้ห่มผ้าหนาและสวมถุงเท้าให้ความอบอุ่นอยู่เสมอ คอยระวังหากเด็กมีไข้ให้รีบไป พบแพทย์และฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์กำหนด วัยเรียน วัยซนควรหลีกเลี่ยงออกไปเล่นน้ำฝน เพราะจะทำให้ไม่สบายได้ ผู้ปกครองควรเตรียมร่มหรือหมวกให้เด็กติดตัวไว้เสมอ วัยทำงาน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลสุขภาพ และมักคิดว่าไม่เป็นไร แต่ควรเลี่ยงการเดินตากฝน การดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ในปริมาณที่มากเกินไป และรออกกำลังกาย อย่างสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาที เสริมผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง หรือ กินสมุนไพรไทยที่มีความเผ็ดร้อน เพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกายอบอุ่น วัยสูงอายุ ภูมิต้านทานจะอ่อนแอลง เสี่ยงป่วยจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทั้งโรคทางเดินหายใจ ไข้หวัดใหญ่ หลอดลมอักเสบ และสามารถลามไปโรคปอดอักเสบได้ ผู้สูงอายุควรกินอาหารรสอ่อนปรุงสุก เลี่ยงกิจกรรมกลางแดดร้อนจัด สวมรองเท้าให้มิดชิดเพื่อป้องกันแมลงมีพิษในช่วงที่อากาศชื้น ที่สำคัญ ควรนอนหลับให้เพียงพอ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลัก 2 1 1 ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้มีสุขภาพที่แข็งแรง ที่มาจาก : กรมอนามัย จากเว็บไซต์ : https://multimedia.anamai.moph.go.th/infographics/info711_rainy_4/